โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) เป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้บ่อย และเป็นสาเหตุอันดับต้นๆของการเสียชีวิตหรือติดเตียงในประเทศไทย โดยโรคหลอดเลือดสมองคือภาวะที่เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ ทำให้สมองขาดเลือดหรือออกซิเจน หากไม่ได้รักการรักษาอย่างทันท่วงทีก็อาจนำไปสู่การสูญเสียได้
โรคหลอดเลือดสมอง แบ่งเป็น 2 ชนิด
1.โรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด (Ischemic stroke) แบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย
- ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ (Thrombotic stroke) เกิดจากการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง โดยเกิดจากภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้
- การอุดตัน (Embolic stroke) เกิดจากการที่หลอดเลือดอุดตันจนทำให้เลือดไปไหลเวียนที่สมองไม่เพียงพอ
2.โรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic stroke)
- โรคหลอดหลอดสมองโป่งพอง (Aneurysm) เกิดจากการที่หลอดเลือดอ่อนแอ
- โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ (Arteriovenous Malformation) เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดสมองตั้งแต่กำเนิด
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง แบ่งเป็น 2 แบบ
1.ปัจจัยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
- อายุ : ผู้สูงอายุที่มากกว่า 45 ปี ขึ้นไป แต่ในช่วงอายุอื่นๆก็สามารถเกิดได้เช่นกัน
- เพศ : ชาย มากกว่า หญิง
- พันธุกรรม : ครอบครัวมีประวัติ
2.ปัจจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
- โรคประจำตัว (ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง)
- บุหรี่ แอลกอฮอล์
- ความอ้วน
- โรคหัวใจ
- สารเสพติด
- คลอเรสเตอรอลสูง
อาการและอาการแสดง
สามารถพบได้หลายอาการ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของหลอดเลือดที่เกิดพยาธิสภาพ โดยที่อาการที่พบบ่อยและช่วยในการสังเกต ได้แก่
- อาการอ่อนแรง อาการชา เกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย โดยส่วนมากมักเกิดขึ้นกับร่างกายข้างใดข้างหนึ่ง
- การทรงตัวมีปัญหา
- เวียนศีรษะเฉียบพลัน
- การพูด เช่น พูดติด เสียงไม่ชัด พูดไม่ได้
- เห็นภาพซ้อน สูญเสียการมองเห็นบางส่วน
ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน หรือเกิดขึ้นชั่วคราวขณะหนึ่งเพื่อเป็นสัญญาณเตือนแล้วหายไปเองหรือเกิดขึ้นหลายครั้งจนเป็นอาการแบบถาวร เรียกว่าภาวะมีสมองขาดเลือดชั่วคราว (TIA)
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
- รับประทานอาการที่มีประโยชน์ ลด อาการไขมันสูง รสเค็มจัด
- ควบคุมตามหนักให้อยู่ในเกินมาตรฐาน
- ออกกำลังกาย แบบแอโรบิก ประมาณ 3 – 5 วันต่อสัปดาห์
- เข้ารับการตรวจสุขภาพ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- ในผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรทานยาให้ตรงตามแพทย์สั่งไม่ขาดหรือเกิน ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ควบคุมให้อยู่ในค่าที่เหมาะสม คือไม่เกิน 140/90 มม.
- งดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์
- กรณีที่เป็นโรคหัวใจควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะควรได้รับยาป้องกันเลือดแข็งตัว
การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง
- ยาละลายลิ่มเลือด ใช้เพื่อละลายเลือดที่อุดตัน ทำให้เลือดไหลเวียนดีขั้น ได้รับเร็วเท่าไรยิ่งเนื่องจากจะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาดียิ่งขั้น
- ยาต้านเกล็ดเลือด ช่วยป้องกันการก่อตัวของเกล็ดเลือด ทำให้การอุดตันลดน้อยลดลง
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ใช้ในผู้ที่มีอัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำในระยะยาว
- การทำกายภาพบำบัด
หากผู้ป่วยเกิดมาอาการและเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการของผู้ป่วยก็จะเริ่มดีขึ้นตามลำดับ และอาจเริ่มกลับมาภายใน 6 เดือน แต่ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับส่วนที่ได้รับความเสียหายและหากได้รับการรักษาที่ช้าก็อาจใช้เวลานานในการฟื้นฟู ในช่วงที่รอการฟื้นฟูอาจมีเตรียมสิ่งของในการดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ โดยการใช้ที่นอนป้องกันแผลกดทับ การช่วยออกกำลังกายในช่วงแรก เพื่อเตรียมความพร้อมในการฟื้นฟูในอนาคต