การจัดท่านอนและพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันการเกิดแผลกดทับ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้และต้องนอนบนเตียงนานๆ แต่ทว่าการจัดท่านอนหงายหรือการพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยที่ถูกต้องนั้น มีขั้นตอนที่ซับซ้อนก่อให้เกิดความยุ่งยากในการดูแลผู้ป่วย จึงอาจทำให้ผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงไม่ได้ให้ความสำคัญในการจัดท่าหรือพลิกตัวผู้ป่วยอย่างถูกต้องและตรงเวลา ส่งผลต่อเนื่องทำให้เกิดแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียงเพิ่มมากขึ้น
การพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยติดเตียง
การพลิกตัวผู้ป่วยติดเตียงอย่างช้าที่สุด ควรทำทุกๆ 2 ชั่วโมง เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะถ้าไม่ได้นอนบนที่นอนที่ช่วยลดแรงกดทับ หรือกระจายแรงกดทับโดยเฉพาะ เพราะถ้าเซลล์ใต้ปุ่มกระดูกขาดเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่ออาจตายได้และเกิดเป็นแผลกดทับ ผู้เขียนขอแนะนำวิธีพลิกตะแคงผู้ป่วยติดเตียงอย่างง่าย 3 ท่า แก่ผู้ดูแล ดังนี้
ท่าที่ 1: เริ่มด้วยท่าพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยหันเข้าหาผู้ดูแล มาด้านนี่แข็งแรงกว่า
1. โดยอันดับแรก ต้องทำการแจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่าเดี๋ยวเราจะทำการพลิกตัวผู้ป่วยก่อน
2. สังเกตดูว่าตัวผู้ป่วยต้องอยู่ไม่ห่างเกินเอื้อมของผู้ดูแล หากไกลเกินเอื้อมให้ขยับตัวผู้ป่วยเข้ามา แต่ก็ไม่ชิดขอบเตียงจนเกินไป ควรจะเหลือที่ประมาณนึงจากขอบเตียง เพื่อให้ผู้ป่วยมีพื้นที่หลังจากพลิกตัว และเพื่อป้องกันการพลาดพลิกตกเตียง นอกจากนี้ให้ตรวจดูว่า มีสิ่งกีดขวางหรือเป็นอันตรายต่อตัวผู้ป่วยวางอยู่บนเตียงหรือไม่ด้วย
3. หาหมอน 2-3 ใบเพื่อรองแขนและขาผู้ป่วย โดยนำมาวางข้างลำตัวผู้ป่วยในด้านเดียวกับที่ผู้ดูแลยืนอยู่ เพื่อให้สะดวกในการหยิบหมอนหลังจากพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยเสร็จ
4. เหยียดแขนผู้ป่วยด้านที่อยู่ใกล้กับผู้ดูแลออก ในท่าที่งอศอกเล็กน้อย
5. บอกให้ผู้ป่วยทราบว่าผู้ดูแลจะพลิกตัว ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน (ควรบอกผู้ป่วยทุกครั้ง)
6. จับแขนผู้ป่วยด้านตรงข้ามผู้ดูแลมาพาดที่ตัวผู้ป่วยเอง จับเข่าผู้ป่วยด้านตรงข้ามผู้ดูแลให้ตั้งขึ้น ถ้าเป็นขาข้างที่อ่อนแรงจะพบว่าขาของผู้ป่วยจะไหล (ทรงตัวไม่ได้) ดังนั้นผู้ดูแลควรจับเข่าของผู้ป่วยด้วยมือของผู้ดูแลไว้ พร้อมทั้งใช้ท่อนแขนประคองหัวเข่าและขาผู้ป่วยไว้ จากนั้นนำมืออีกข้างไปจับที่หัวไหล่ผู้ป่วยซึ่งเป็นด้านตรงข้ามผู้ดูแล พร้อมออกแรงทั้งสองมือพร้อม ๆ กัน ในการดึงตัวผู้ป่วยตะแคงมาทางผู้ดูแลอย่างนุ่มนวล
7. อย่ารีบปล่อยมือออกจากตัวผู้ป่วยเพราะตัวผู้ป่วยอาจจะพลิกคว่ำหรือหงายกลับได้ ให้ค่อยๆ จัดท่าผู้ป่วยให้เรียบร้อยก่อน
8. ในการจัดท่านอนตะแคงให้ผู้ป่วย สิ่งที่ต้องระวังคือใบหน้าของผู้ป่วยต้องไม่คว่ำ ขยับศีรษะของผู้ป่วยให้อยู่บนหมอนในท่าทางที่ถูกต้อง ไม่คว่ำหน้า ก้มหน้า เงยหน้ามากกว่าเกินไป สังเกตว่าผู้ป่วยสามารถหายใจได้สะดวก ผู้ป่วยไม่ได้นอนทับไหล่ แขน มือ ของผู้ป่วยเอง ตรวจสอบว่าขา เข่า เท้า ให้อยู่ท่าทางที่ถูกต้อง ลำตัวของผู้ป่วยจะต้องอยู่ท่าที่ถูกต้อง ไม่บิดคดเอียงเช่นกัน รวมถึงตรวจสอบสายท่อต่างๆ ว่าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่
9. เมื่อตรวจสอบและจัดท่าทางเรียบร้อยแล้ว จัดหมอนที่เตรียมไว้รองแขนผู้ป่วย และจัดหมอนรองที่ขาข้างที่พลิกมาโดยขาจะอยู่ท่างอเล็กน้อย ส่วนขาด้านล่างให้เหยียดออก
10. ปล่อยให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนในท่านี้ได้สักพัก แต่ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ
ท่าที่ 2: ควรเปลี่ยนท่านอนให้ผู้ป่วยเป็นท่านอนหงาย (ประมาณ 2 ชั่วโมง) ดังนี้
1. ทำการแจ้งให้ผู้ป่วยรู้ก่อน ว่าเราจะทำการพลิกหงายให้ผู้ป่วย
2. นำหมอนที่หนุนรองบริเวณหลัง แขน และขาในท่านอนตะแคงออก ตรวจสอบดูว่า ไม่มีสิ่งกีดขวาง หรือสิ่งที่อาจเป็นอันตรายขวางอยู่บนเตียง
3. ให้ผู้ดูแลประคองจับที่สะบักไหล่ และสะโพกของผู้ป่วยด้านที่ไม่นอนทับ ออกแรงดันผู้ป่วยให้พลิกหงายพร้อมๆ กัน อย่างนุ่มนวล ระวังอย่าให้เกิดการพลิกกระแทกของแขน ขา และลำตัว
4. จัดศีรษะผู้ป่วยให้สูงประมาณ 30-60 องศา หรือไม่สูงจนเกินไป (ระวังไม่ให้คอผู้ป่วยพับ) พร้อมกับสังเกตว่าการหายใจของผู้ป่วยต้องเป็นปกติด้วย
5. รองข้อเข่าทั้ง 2 ข้างด้วยหมอนใบเดิม
6. วางผ้าขนหนูหรือหมอนใบเล็กที่บริเวณตาตุ่ม (ข้างที่อ่อนแรง) เพราะตาตุ่มอาจไปกดทำให้เป็นแผลกดทับได้
7. แขน 2 ข้างวางไว้ที่ข้างลำตัว แขนข้างที่อ่อนแรงควรรองหมอนใต้ข้อศอกเพื่อป้องกันการเกิดแรงกดทับจากข้อศอก
8. ปล่อยให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนในท่านี้ได้สักพัก แต่ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ
ท่าที่ 3: ท่าพลิกตัวผู้ป่วยมาทับข้างที่อ่อนแรง
1. ทำการแจ้งให้ผู้ป่วยรู้ก่อนเหมือนทุกครั้ง ว่าเราจะทำการพลิกตะแคงให้ผู้ป่วย ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
2. จัดระยะห่างระหว่างผู้ป่วยกับขอบเตียงให้เหมาะสม พร้อมทั้งเตรียมหมอนให้พร้อม เหมือนท่าที่ 1
3. ผู้ดูแลยืนด้านอ่อนแรงของผู้ป่วย จากนั้นผู้ดูแลค่อย ๆ กางไหล่ของผู้ป่วยด้านที่อยู่ใกล้กับผู้ดูแลออกเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ขวางขณะพลิกตะแคงมา (การเหยียดแขนด้วยความแรงไหล่อาจหลุดได้)
4. จับเข่าผู้ป่วยด้านตรงข้ามผู้ดูแลตั้งขึ้น (ถ้าผู้ป่วยพอมีแรง ผู้ดูแลควรบอกให้ผู้ป่วยช่วยขยับเข่าตั้งขึ้นเอง) จากนั้นผู้ดูแลจับที่หัวไหล่และเข่าและพลิกตัวผู้ป่วยเข้าหาผู้ดูแลอย่างช้าๆ
5. เมื่อผู้ป่วยพลิกตะแคงมาแล้ว ให้จัดท่าทางต่างๆ ในลักษณะเดียวกับการพลิกตะแคงในท่าแรก โดยสิ่งที่ต้องระวังในท่านี้คือ ใบหน้าของผู้ป่วยต้องไม่คว่ำ
6. ในท่านี้ลำตัวของผู้ป่วยจะมาทับไหล่ซึ่งเป็นข้างที่อ่อนแรง ดังนั้นผู้ดูแลควรดันผู้ป่วยกลับไปนิดนึง และหาหมอนมารองที่หลังผู้ป่วยด้วย
7. จัดหมอนที่เตรียมไว้รองแขนผู้ป่วย และจัดขาข้างที่พลิกมาโดยสอดหมอนที่เตรียมไว้รองขาในท่ากึ่งงอเล็กน้อย ส่วนขาอีกข้างของผู้ป่วยให้จับเหยียดออก
ทั้งหมดนี้เป็นการพลิกตัวผู้ป่วยด้วยกัน 3 ท่า อย่างง่ายที่ผู้ดูแลสามารถฝึกฝนได้ ทั้งนี้มีข้อแนะนำ ควรพลิกตัวผู้ป่วยทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อลดโอกาสการเกิดแผลกดทับตามจุดที่มีการลงน้ำหนักต่าง ๆ โดยมีการหมุนเวียนเปลี่ยนท่านอน เช่น นอนหงาย นอนตะแคงซ้าย นอนตะแคงขวาสลับกันไป ในระยะยาวการพลิกตัวผู้ป่วยติดเตียงก็อาจทำให้ผู้ดูแลมีอาการปวดหลัง หรือปวดเอวขึ้นได้ เนื่องจากต้องออกแรงในการดันตัวเพื่อพลิกตัวผู้ป่วยอยู่ทุกวัน การฝึกฝนการจัดท่าพลิกตัวให้ผู้ป่วยติดเตียงจะช่วยลดอาการปวดหลังแก่ผู้ดูแลได้
ขอสรุปเรื่องการพลิกตัวผู้ป่วยติดเตียง เมื่อผู้ดูแลเข้าใจหลักการพลิกตัวผู้ป่วยติดเตียงที่ถูกต้องแล้ว ผู้ดูแลก็จะไม่เกิดความยุ่งยากใจในการดูแล เมื่อผู้ดูแลพบว่าพลิกตัวผู้ป่วยทุก2 ชม.แล้ว พบรอยแดงบริเวณผิวหนังไม่หายภายใน 30 นาที อาจจะพิจารณาให้พลิกตัวผู้ป่วยให้บ่อยขึ้น การพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยติดเตียงต้องดูลักษณะของเตียงด้วย ถ้าเป็นเตียงแข็งมากต้องพลิกตัวบ่อยหรือถ้าน้ำหนักตัวของผู้ป่วยติดเตียงมากก็ต้องพลิกก่อน 2 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นเตียงนุ่มหรือใช้อุปกรณ์เสริมอื่นๆช่วย ผู้ดูแลอาจต้องพลิกตัวผู้ป่วยติดเตียงช้ากว่า 2 ชั่วโมงได้