จากโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเพียง 30 ปี พบว่าประเทศไทยมีผู้สูงอายุเพียงร้อยละ 4.6 เพิ่มเป็นร้อยละ 7.36 ในปีค.ศ.1999 และประมาณการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2030 จะมีผู้สูงอายุถึงร้อยละ 26.90 ของประชากรทั้งหมด เป้าหมายหรือความสำเร็จ คือการเพิ่มคุณภาพชีวิตพร้อมกับการให้ผู้สูงอายุมีชีวิตยืนยาว แข็งแรงและไม่เข้าสู่ภาวะพึ่งพิง
การก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญทั้งในเรื่องการดูแลสุขภาพอนามัยที่เหมาะสมอันจะส่งผลต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุนั้นจึงมุ่งเน้นการให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่แข็งแรงเพียงพอ และมีความสามารถในการดูแลตนเอง รวมทั้งการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของตนเองโดยไม่เป็นภาระของบุคคลในครอบครัวหรือญาติพี่น้อง
ใครมีผู้สูงอายุที่ต้องดูแล ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย หรือผู้สูงอายุติดเตียงจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งวิกฤติเศรษฐกิจรุนแรง การป้องกันดูจะเป็นยาขนานเอกที่ได้ผลเกินคาด เพราะสุขภาพดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง
การดูแลผู้สูงอายุและส่งเสริมสุขภาพร่างกายของผู้สูงอายุ เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเป็นผู้สูงอายุพึ่งพิง หรือผู้สูงอายุติดเตียง
การดูแลผู้สูงอายุและส่งเสริมให้มีสุขภาพดีนั้น นอกจากครอบครัวแล้ว และตัวผู้สูงอายุเองถือว่ามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุให้มีสุขภาพที่ดี และร่างกายแข็งแรง โดยมี หัวข้อที่จำเป็นดังนี้
1.การดูแลด้านอาหาร เนื่องจากฟันผู้สูงอายุไม่แข็งแรง และมักมีปัญหาฟันหลุด ร่วง ทำให้การเคี้ยวอาหารเป็นไปได้ลำบาก เคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด ดังนั้นอาหารของผู้สูงอายุ ควรมีความอ่อนและนุ่ม เพื่อที่จะให้ผู้สูงอายุเคี้ยวได้ง่ายขึ้น และควรมีสารอาหารที่เพียงพอ สะอาดและถูกสุขลักษณะ โดยสารอาหารที่จำเป็นต่อผู้สูงอายุได้แก่ โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ต่าง ๆ เส้นใยอาหาร
2.การออกกำลังกาย เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อของผู้สูงอายุที่ลดลง กระดูกที่เปราะบางขึ้น การออกกำลังกายในผู้สูงอายุควรระมัดระวังมากขึ้น ออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ควรหักโหมจนเกินไปเพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ โดยการออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุมีดังนี้ การเดิน หรือวิ่งช้า ๆ โยคะ ปั่นจักรยาน รำมวยจีน เต้นแอโรบิค
3.การจัดการความเครียดและวิตกกังวล ความเครียดในผู้สูงอายุเกิดขึ้นได้หลายปัจจัย ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม โดยวิธีที่เหมาะสมที่จะกำจัดความเครียดคือการยอมรับ และเข้าใจถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ครอบครัวหรือคนใกล้ตัวต้องคอยรับฟัง และให้คำปรึกษาให้ผู้สูงอายุได้ระบายความรู้สึกต่าง ๆ และหากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายความเครียด เช่น ดูหนัง ฟังเพลง หรือให้ผู้สูงอายุได้พบปะเพื่อนฝูง ในวัยเดียวกัน
4.การป้องกันอุบัติเหตุและอันตราย ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ การหกล้ม ลื่นล้มถือเป็นอุบัติเหตุที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ มากกว่าอุบัติเหตุชนิดอื่น ๆ ซึ่งการหกล้มอาจทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา กระดูกแตกหัก เลือดคั่งในสมอง บางรายอาจถึงขั้นพิการ หรือเสียชีวิต สาเหตุมักเกิดจากการทรงตัวที่ไม่ดี ขาอ่อนแรง มีอาการหน้ามืด หรือเกิดจากการที่พื้นลื่น สะดุดสิ่งของต่าง ๆ ภายในบ้าน โดยวิธีป้องกันคือ การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง การใช้ไม้เท้าช่วยเดิน ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ป้องกันการเกิดอาการหน้ามืด และที่สำคัญควรปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้เหมาะสม ไม่ควรมีพื้นต่างระดับมากเกินไป เพิ่มแสงสว่างภายในบ้าน ไม่วางของแกะกะ และมีแผ่นกันลื่นในห้องน้ำ
5.สัมผัสอากาศที่บริสุทธิ์ จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้ อาจเป็นสวนสาธารณะใกล้ๆ สถานที่ท่องเที่ยว หรือการปรับภูมิทัศน์ภายในบ้านให้ปลอดโปร่ง สะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก มีการปลูกต้นไม้ จัดเก็บสิ่งปฏิกูลให้เหมาะสม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และสามารถช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดได้
6.หลีกเลี่ยงอบายมุข ได้แก่ บุหรี่และสุรา จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรค หรือลดความรุนแรงของโรคได้ ทั้งลดค่าใช้จ่ายในการรักษา และยังช่วยป้องกันปัญหาอุบัติเหตุ อาชญากรรมต่างๆ อันเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในขณะนี้
7.ควบคุมน้ำหนักตัวหรือลดความอ้วน โดยควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะช่วยทำให้เกิดความคล่องตัว ลดปัญหาการหกล้ม และความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม และโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
8.หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม เช่น การซื้อยากินเอง การใช้ยาเดิมที่เก็บไว้มาใช้รักษาอาการที่เกิดใหม่ หรือรับยาจากผู้อื่นมาใช้ เนื่องจากวัยนี้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตในการกำจัดยาลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดพิษจากยาหรือผลข้างเคียงอาจมีแนวโน้มรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ฉะนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาจะดีที่สุด
9.หมั่นสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย เช่น คลำได้ก้อน โดยเฉพาะก้อนโตเร็ว แผลเรื้อรัง มีปัญหาการกลืนอาหาร กลืนติด กลืนลำบาก ท้องอืดเรื้อรัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไอเรื้อรัง ไข้เรื้อรัง เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอกหรือถ่ายอุจจาระผิดปกติ มีอาการท้องเสียเรื้อรัง ท้องผูกสลับท้องเสีย ถ้าอย่างนี้ล่ะก็พามาพบแพทย์ดีที่สุด โดยผู้สูงอายุสามารถตรวจสอบอาการผิดปกติต่างๆได้เอง หรือลูกหลานสามารถช่วยสังเกตและตรวจสอบความผิดปกติทางร่างกายของผู้สูงอายุได้ตามหลักการตรวจสภาพผิวหนังและร่างกายผู้ป่วย
10.ตรวจสุขภาพประจำปี แนะนำให้ตรวจสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี หรืออย่างน้อยทุก 3 ปี โดยแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง ตรวจหาโรคมะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และยังมีตรวจการมองเห็น การได้ยิน ตลอดจนประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย
การดูแลผู้สูงอายุ ต้องมีความเอาใจใส่ ทุ่มเท และอดทน เสียสละเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่แค่ต้องดูแลอาการป่วยให้หายดี แต่ยังต้องดูแลสุขภาพจิตใจของผู้สูงอายุอีกด้วย
ปัญหาทางด้านจิตใจของผู้สูงอายุ มักเกิดจากการสูญเสียความสามารถในการเป็นที่พึ่งพิง ภาวะผู้นำ การที่บุตรหลานเติบโต แยกย้ายไปมีครอบครัว ความวิตกกังวลในสภาพร่างกายที่ถดถอย เป็นต้น และด้วยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุมีแนวโน้มเหมือนเด็กที่ต้องการพึ่งพาอาศัย และการดูแลจากผู้อื่นอยู่เสมอ บางรายอาจจะมีภาวะติดเตียงเพิ่ม ทำให้มีความเครียดและวิตกกังวลเพิ่มทวีคูณ ปัญหาสุขภาพทางจิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ ความวิตกกังวล กลัวถูกทอดทิ้ง คิดมากเรื่องในอดีต กังวลเรื่องสุขภาพร่างกายที่ถดถอยลง ไม่เหมือนเดิม การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ เอาแต่ใจ จู้จี้ขี้บ่น และมักขี้น้อยใจ นอกจากการดูแลสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็เป็นสิ่งสำคัญ การทำจิตใจให้แจ่มใส มองโลกในแง่ดี ไม่เครียดหรือวิตกกังวลกับเรื่องต่างๆ มากจนเกินไป รวมถึงการเข้าใจและยอมรับตนเองของท่านและผู้อื่น จะช่วยให้เป็นผู้สูงอายุที่สุขภาพดีอย่างแท้จริง คลิกเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับมือกับอารณ์ของผู้สูงอายุติดเตียง
สัญญาณเตือนว่าผู้สูงอายุจำเป็นต้องได้การดูแลสุขภาพจิตอย่างใกล้ชิด
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เบื่อหน่าย รู้สึกเหงา รู้สึกไร้ค่า ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เก็บตัวจากสังคมรอบข้าง ไม่อยากทำอะไร ขาดกำลังใจ หรืออาจมีโรคต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และอาการเหล่านี้อาจนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุได้ โดยลูกหลานควรพยายามปรับตัวเพื่อที่จะเข้าใจคนวัยนี้เพิ่มมากขึ้น โดยการทำให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมกับครอบครัว พูดคุย และรับฟังปัญหาต่างๆ คอยดูแลใส่ใจในสุขภาพ รวมถึงการพาไปพบแพทย์
การดูแลผู้สูงอายุด้านการส่งเสริมสุขภาพจิต
การที่จะทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นนั้น ต้องการอาศัยการดูแล ความเข้าใจและการเอาใจใส่จากคนในครอบครัวเป็นพิเศษ โดยการดูแลผู้สูงอายุด้านจิตใจสามารถทำได้ดังนี้
- การช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เช่นการไปขอคำแนะนำ และคำปรึกษา ขอความช่วยเหลือให้ดูแลควบคุมภายในบ้าน ปรึกษาเรื่องการเลี้ยงดูบุตรหลาน หรือการกล่าวชื่นชม เล่าเหตุการณ์ประทับใจต่อผู้สูงอายุ
- การใช้เทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตสำหรับผู้สูงอายุ มีส่วนสำคัญในการลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ดี การสอนให้ผู้สูงอายุใช้เทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตจะช่วยให้ผู้สูงอายุรับรู้ข่าวสาร ทันสมัยต่อเหตุการณ์ และที่สำคัญสามารถติดต่อกับเพื่อนฝูงในวัยเดียวกันในทางไลน์ ผู้สูงอายุมักจะฟังและเชื่อข้อมูลจากเพื่อนฝูงในวัยเดียวกัน
- ระมัดระวังคำพูด และการกระทำต่อผู้สูงอายุ เช่นการกล่าวทักทาย สวัสดี เชิญรับประทานอาหารก่อน
- ควรให้ผู้สูงอายุเข้ากิจกรรมทางสังคม และหากิจกรรมทำร่วมกับผู้สูงอายุ เช่นการ ไปวัดทำบุญ โดยลูกหลานช่วยเตรียมของให้ พาไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา หรือไปทานอะไรอร่อย ๆ
ผู้เขียนขอสรุปดังนี้ การดูแลผู้สูงอายุเป็นเรื่องสำคัญ แต่หลายคนมักจะให้ความสำคัญกับการดูแลผู้สูงอายุทางด้านร่างกาย แต่มองข้ามเรื่องจิตใจของผู้สูงอายุไป ดังนั้น การดูแลผู้สูงอายุที่ดี ควรมีความเข้าใจ การเอาใจใส่และดูแลร่างกายของผู้สูงอายุควบคู่่ไปกับจิตใจด้วย เพราะจะช่วยให้ร่างกายผู้สูงอายุแข็งแรง พร้อมกับมีจิตใจที่มีความสุข และตัวผู้สูงอายุเองต้องส่งเสริมให้ร่างกายตัวเองให้มีสุขภาพดีตามหัวข้อที่แนะนำมาทั้งหมด ก็จะป้องกันผู้สูงอายุไม่เข้าสู่ภาวะพึ่งพิงได้